ภาวนาจัดตั้ง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์เช้า วันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ในภาคปฏิบัติของเรา กิเลสมันเป็นนามธรรมที่มันอยู่ในหัวใจ แล้วมันอยู่กับเรา มันรู้อยู่แล้ว เหมือนกับเราเป็นหนูกับแมว ถ้าแมวมันจะไปจับหนู แมวมีกระพรวนด้วย หนูมันก็หนีไปตลอดเวลา แมวถ้ามีกระพรวนนะ มันจะจับหนูได้อย่างไร มันขยับตัวกระพรวนมันก็ดังไปตลอด
อันนี้ก็เหมือนกัน ในภาคปฏิบัติมันใช้รูปแบบ ใช้สิ่งที่เป็นรูปแบบ สิ่งที่ว่าสำเร็จรูปมา ไอ้หนูมันอยู่ในหัวใจคือกิเลสมันก็ยิ้มสิ มันก็หลบหลีกได้สบายเลย เห็นไหม ต้องเข้าฌาน ๑ ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ แล้วถอยมาฌานที่ ๓ ถึงยกขึ้นวิปัสสนา ในวิปัสสนาแล้วก็คิดไปไง
ก็เหมือนที่เขามาหา เห็นว่าเขากำหนดวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ เขาตัดได้หมดแล้ว เขาอยู่ในขั้นไหน? เขาอยู่ในฌานไหน?
เราบอก ไม่ได้ฌานอะไรเลย ถ้าเป็นฌานขึ้นมา มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาเอง มันจะปล่อยวาง มันจะว่างไปเอง ขนพองสยองเกล้ามันเป็นไปโดยธรรมชาติ น้ำตาร่วงน้ำตาไหลมันเป็นไปโดยธรรมชาติของมัน
แต่ในเมื่อถ้าเราไปคาดการณ์ก่อน มันจะมีเป็นความเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ความที่เป็นอย่างนั้น พอเป็นไปเป็นสเต็ปขึ้นไปเลยๆ แต่ไอ้หนูมันเห็นแมว มันได้ยินเสียงกระพรวนมันแล้ว มันก็หลบไปเลย มันหลบไป มันถึงจะไม่เจอกิเลสเลย มันจะไม่เห็นอะไรเลย มันเห็นแต่ความคาดหมายไป ที่เขาบอกว่า ห้ามคาดห้ามหมาย เพราะมันจะเป็นการด้นการเดา
อันนี้คือการคาดการหมายโดยในภาคปฏิบัติไง แต่เอาปริยัติคือเอาสูตรสำเร็จเอามาวิตกวิจารก่อน มันเป็นไป
ฉะนั้น อาจารย์มหาบัว เห็นไหม จบถึงมหานะ แล้วไปหาหลวงปู่มั่น บอกเลยว่า เอาตำราทั้งหมดใส่ตู้ไว้นะ แล้วล็อกกุญแจไว้ด้วย เพราะสิ่งที่มันยังไม่เป็นประโยชน์หมายถึงเริ่มต้น แต่มันจะเป็นประโยชน์ตอนสุดท้าย ประโยชน์ตอนสุดท้ายหมายถึงว่าผลแล้วมันเหมือนกัน เพราะตำรานั้นเขียนถึงผล เหตุแล้วผลเข้าไปถึงออกมาเป็นธรรม เหตุแล้วผลใช่ไหม
นี่มันยังไม่มีผล มันเป็นเหตุ ตัวเองคาดหมายผลไปๆ มันจะไม่เป็นผลขึ้นมาเลย มันจะไม่เป็นปัจจัตตังไง มันเป็นการคาดการหมาย อันนี้ถึงเป็นการคาดการหมาย พอการคาดการหมายเข้าไป ในภาคปฏิบัติว่าตัวเองทำปฏิบัติอยู่ แต่มันเป็นปริยัติโดยธรรมชาติ ปริยัติหมายถึงว่ามันเป็นการจดจำมา มันเป็นการด้นเดามา มันถึงเข้าไม่ถึงหลักความจริง
ถ้าพูดถึงการปฏิบัติในทางอภิธรรมก็เหมือนกัน เห็นไหม ต้องดูรูปแบบไป กำหนดนามรูป รู้วาระจิต ให้วาระจิตขึ้นแล้วดับๆ นี่มันเกิดดับตามความเป็นจริง เหมือนกันที่เราเห็นความเกิดดับ เรารู้ว่ามันเกิดมันดับ เห็นตามความเป็นจริงเพราะอะไร เพราะธรรมชาติมันเกิดดับโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว
แต่ก่อนเราไม่เคยเฝ้าดูการเกิดดับของใจ อารมณ์ที่มันเกิดแล้วมันดับ มันไม่เคยเห็นใช่ไหม พอมันจับมันเห็นมันเกิดดับ มันตื่นเต้น พอมันตื่นเต้นมันรู้สัจจะอันนี้เข้า มันก็มีความรู้อีกอันหนึ่งเกิดขึ้นมา แต่มันไม่เป็นอิสระกับตัวมันเอง
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราคิดว่าควรจะเป็นอย่างนั้นๆ แล้วจินตนาการไป มันเป็นจินตนาการไป มันไม่เป็นภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญานี่มันไม่เกิดขึ้นจากการคาดการหมาย มันไม่เกิดขึ้นจากสายป่านจากกระแสของใจเลยนะ มันจะเกิดขึ้นจากความเป็นจริงของมัน แต่เริ่มต้นเกิดจากสายป่านของใจออกไปก่อน สายป่านของใจคือว่า มันต้องเริ่มต้นจากเจตนา จากความริเริ่มของเรา มันต้องมีส่วนผลักดันเข้าไป
พอผลักดันเข้าไป นี่ที่ว่าภาคปฏิบัติมันสำคัญตรงนี้ไง เป็นอกาลิโก อกาลิโกไม่ใช่กาลไม่ใช่เวลา มันเกิดดับเดี๋ยวนั้น แต่การผลักไสขึ้นไปเกิดขึ้นไปจากเรา เห็นไหม การผลักไสขึ้นไป นี่มันถึงจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญามันถึงเป็นอิสระ อิสระเป็นมัชฌิมาปฏิปทาคือไม่มีส่วนร่วม
แต่นี่ว่าต้องเป็นสเต็ปขึ้นไป เขาชอบตรงที่ว่าเป็นสเต็ปขึ้นไปแล้วง่าย ทุกคนตายตรงนี้ ตรงที่ว่ามีสเต็ปขึ้นไปแล้วง่าย การปฏิบัตินั้นถ้าคนปฏิบัติเป็นจะรู้เลยว่าสิ่งนี้ รู้เลย เห็นไหม คำว่า รู้เลย รู้เพราะอะไร
เพราะมันเป็นอดีตอนาคต มันไม่เป็นปัจจุบันหรอก มันเป็นปัจจุบันไปไม่ได้ เพราะเวลาจิตมันเกิดแว็บขึ้นมา มันเกิดแล้วเราถึงเสวยอารมณ์ มันดับไปแล้วเราถึงรู้ว่าทุกข์ เห็นไหม เราตามไม่ทันหรอก มันเกิดขึ้นมา มันให้ผลไง เหมือนร่างเงาเราดูแต่เงาอยู่ ร่างกายเราโยกไหวไป เงามันจะเปลี่ยนรูปไป แต่เงาจะเปลี่ยนรูปไปเพราะอะไร เพราะร่างกายโยกไหวไป
อันนี้ความคิดคือตัวร่างกายที่มันโยกไหวไป แต่เราเห็นเฉพาะเงา แล้วเราไปดับกันที่เงา แล้วเราก็ตื่นเต้นมากนะ โอ้โฮ... เอามือทำขึ้นรูปอะไรนะ มันก็เป็นรูปอย่างนั้น เงาขึ้นตามรูปมือที่รูปมือ แต่รูปสัตว์อย่างไรมันก็เป็นรูปอย่างนั้น เราทำได้ มันเห็นไปอย่างนั้น เราเอามือออกไปเงาก็ไม่มี ยิ่งตื่นเต้นใหญ่เลยเพราะมันไม่มีเงา เงามันหายไปได้อย่างไร
แต่ไอ้ตัวที่ไหวไปนี่ไม่ได้มอง เห็นไหม มันไปถึงตรงเงาตรงนั้น มันก็เลยตื่นเต้นเงาอันนั้น พอตื่นเต้นเงาอันนั้น ใครเป็นคนเห็นเงานั้น? เราเห็น เงานั้นเกิดจากอะไร? เกิดจากเราเหมือนกัน เราไม่เข้าใจทั้งหมดเลย แล้วก็ไปอยู่ที่เงานั้น
นี่ถึงบอกว่ามันเป็นภาคปริยัติในภาคปฏิบัติ คือว่าคิดว่าเป็นปฏิบัติไง แต่เอาปริยัตินั้นเข้ามาเป็นแบบอย่างออกไปตลอดเวลา ยืนยันกันว่าเป็นความจริง แล้วเราก็เข้าใจว่าเป็นความจริง เข้าใจว่าเพราะอะไร?
เพราะว่าไม่เคยประสบของจริงไง พอไม่ประสบของจริง พออาการที่ว่าเห็นเงาที่มันแปรสภาพไป มันตื่นเต้น ความตื่นเต้นนั้นว่าเป็นผล นี่มันจะยืนยันกันได้ว่าในหลักของศาสนานี่ผลมหาศาลมาก ลึกซึ้งมาก กว้างขวางมาก ด้นเดาเอาไม่ได้ วิตกวิจารไม่ได้ ตรรกะคิดเอาไม่ได้ ธรรมะเข้าไม่ได้เลยในวิธีการต่างๆ
เว้นไว้แต่! เว้นไว้แต่ ใจ เห็นไหม ใจต้องเอาธรรมเข้าไป ใจแก้ใจก็ถูกอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ใจเริ่มต้นเอาใจแก้ใจ ใจมันกิเลสล้วนๆ ทุกคนต้องเข้าข้างตัวเอง แล้วเอาใจอะไรมาแก้ใจ ธรรมก็เกิดจากใจ เห็นไหม สตินี้เกิดจากใจ สตินี่
สตินี้ไม่ใช่ใจนะ ใจนี้เป็นอาการที่มันเกิดดับอยู่ แต่เราตั้งสติอยู่ สติจะเกิดขึ้นทันทีเลย พอเราปล่อยไว้สติก็เลือนรางไป เรานึกขึ้นใหม่ ระลึกอยู่ เราระลึกตั้งสติอยู่ สติจะเกิดขึ้น เห็นไหม ทุกอย่างเกิดขึ้นที่ใจ ถึงทำอาการของธรรมที่เกิด ปฏิกิริยาของธรรมไง ที่เราว่าทาน ศีล ภาวนา เห็นไหม โพชฌงค์ ๗ เห็นไหม วิริยะ ความอุตสาหะต่างๆ อิทธิบาท ๔ เป็นอาการของที่เราสร้างสมขึ้นมา นี่คือธรรม
นี่กิเลสกลัวตรงนี้ไง กลัวธรรม กลัวความจริงใจ กลัวความตั้งใจของเรา พอกิเลสมันกลัวเข้าไป กิเลสมันก็จะผ่อนคลายออก ผ่อนคลายออกหมายถึงว่า มันให้โอกาสธรรมนี่เกิดขึ้น อันนี้ต่างหากมันถึงเป็นปัจจุบันธรรม อันนี้ต่างหากมันถึงเป็นการวิปัสสนา แล้วอันนี้มันเกิดขึ้น
มันถึงว่ามันไม่มีสูตรสำเร็จ สูตรสำเร็จไม่ได้เพราะ! เพราะนิ้วคนไม่เท่ากัน เราเกิดมาในพ่อแม่เดียวกัน เห็นไหม ความคิดเรายังไม่เหมือนกันเลย แล้วขนาดว่าพ่อแม่เดียวกันนะ บอกว่า ให้ลูกเรียนเหมือนกัน ให้ลูกทำงานเหมือนกัน ให้ลูกมีความสุขเหมือนกันทุกคน เป็นไปได้ไหม ลูกแต่ละคนก็เรียนโดยชอบวิชาชีพไปคนละอย่าง การทำงานก็ไปคนละอย่าง หมายถึงว่าสูตรสำเร็จไม่มี
ถ้าสูตรสำเร็จมี มันก็เหมือนกับลูกทุกคนต้องเหมือนพ่อแม่คาดหมายทั้งหมด พ่อแม่ต้องปั้นลูกได้สมความปรารถนาทั้งหมด พ่อแม่ต้องสั่งได้ เพราะว่ามันเหมือนกันตั้งแต่ลูกคนหัวปียันสุดท้อง เหมือนกันหมด ให้เหมือนกันให้ได้ให้หมด สูตรสำเร็จจะเกิดได้ ตรงนี้ต้องเกิดขึ้นมาก่อน สูตรสำเร็จจะเกิดขึ้นมาได้ เพราะคนเหมือนกันไง คนเหมือนกัน ความคิดเหมือนกัน มันเป็นบล็อกเหมือนกัน
บล็อกนี้ถึงว่าเป็นแม่พิมพ์ พิมพ์ปั๊บๆ ออกมาถึงได้รูปแบบออกมา อย่างนั้นพระอริยบุคคลจะมหาศาลเลย เดินตามนี้ เดินตามสเต็ปนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่ ออกมาเป็นพระอรหันต์ หนึ่ง สอง สาม สี่ ออกมา แล้วมันมีไหมล่ะ? มันมีผู้ที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่รู้ธรรมตามความเป็นจริง มันมีกี่คน? แต่ตำราเขียนไว้ นี่วางไว้เดินตามสเต็ปนั้นด้วย แล้วให้ออกมาเป็นจริง มันเป็นจริงไหม?
ถึงบอกว่า ชอบความสะดวกสบายไง แล้วพอความสะดวกสบายเป็นการคาดหมายขึ้นมา แล้วเขียนเป็นชาร์ทออกมา แล้วว่าให้เดินตามนี้ นี่มันเป็นของบุคคล ถึงเป็นบุคคลแล้วนะ ถ้าคนที่เป็นอย่างนี้นะ เป็นได้จริง
ถึงว่าเขียนแล้วนะ คนอื่นทำอย่างนี้ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่หมายถึงว่าคนไม่ชอบเหมือนกันหมด คนไม่ชอบทำไปแล้ววาสนาบารมีก็ไม่เท่ากัน ความเป็นไปโดยธรรมมันก็ไม่เหมือนกัน แล้วความหนาบางของใจก็ไม่เหมือนกัน ความหนาบาง เห็นไหม สัทธาจริต พุทธจริต กามวิตก นี่ใจคนไม่เหมือนกัน จะเอาสิ่งใดแก้ เผ็ดแก้ด้วยอะไร เปรี้ยวแก้ด้วยอะไรในรสของอาหารนั้น
นี่ก็เหมือนกัน จริตนิสัยชอบในสัทธาจริต พุทโธ พุทโธก็เข้าไปได้ พุทธจริต จริตที่อยู่พวกปัญญานี่ พวกปัญญาต้องเอาเหตุผลเข้าไปแก้ เห็นไหม แก้อะไร? แก้ความเคยใจของตัว ใจมันเคยไม่เหมือนกัน ความเคยใจต่างกันๆ นี่คือกิเลส
กิเลสนี่คือสะสมมา การเกิดการตายในบุพเพนิวาสานุสติญาณ วิชชา ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก จิตนี้เกิดมาไม่มีที่ว่างเลย เกิดดับเกิดดับ เกิดตายเกิดตายมาตลอด เกิดตายเกิดตายมาตลอดนะ เราเกิดบนกองกระดูก แล้วเราก็มานั่งทับบนกองกระดูก เราตายไปเราก็ตายไป กองกระดูกหมายถึงว่า ร่างกายนี่แปรสภาพไปแล้วมันต้องเป็นดินไป แล้วเรานั่งอยู่บนอะไร เราเกิดมานั่งอยู่บนดิน ของเดิมทั้งนั้นเลย
นี้ของเดิมทั้งนั้นนะ การสะสมมาของใจ ความเคยใจถึงอยู่อันนั้นไง ความเคยใจของแต่ละบุคคล ความชอบของแต่ละบุคคลถึงไม่เหมือนกัน ความไม่เหมือนกันแล้วจะให้ไอ้ที่ตัวจะเข้าไปแก้มันก็ต้องเข้าไปเป็นปัจจุบันอันนั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอก ไม่สามารถแก้ไขใครได้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่า ประทานไว้เฉยๆ วางไว้เฉยๆ วางคือวางธรรมเอาไว้ไง ว่ามรรค ๘ มัคค อริยสัจจัง มรรค ๘ อริยสัจ ๔ แล้วเราจะเข้าไปแก้ไข เราต้องสร้างขึ้นมาเอง ใจแก้ใจอยู่ตรงนี้ ใจต้องแก้ใจ เพราะใจนี้เป็นกิเลสอยู่ แต่ต้องอาศัยธรรมที่เกิดขึ้นจากใจนี้เข้าไปชำระใจอันนี้
อันนี้มันถึงว่าต้องเป็นปัจจุบันของอกาลิโก เห็นไหม เป็นปัจจุบันของแต่ละบุคคล ถึงสูตรสำเร็จเป็นไปไม่ได้ สูตรสำเร็จไม่มี ถ้ามีสูตรสำเร็จไปแล้วมันจะทำอย่างไร? สูตรสำเร็จก็เดินตามนั้นไป เลยเป็นปริยัติขึ้นไป
แต่ถ้าเขาคิดกันไปก็ให้เขาคิดกันไป เราต้องเชื่อมั่นตรงนี้ไง เชื่อมั่นตรงนี้ว่ามันจะยาก มันจะลำบากหน่อยหนึ่ง ลำบากหน่อยหนึ่งถึงว่าไม่มีแบบแผนให้เดินเข้าไปโดยตรง แต่มันก็จะเข้าถึงได้ด้วยของเราเอง เข้าถึงได้ด้วยตัวเราเอง
************************************************************
ไม่มีต้องดิ้นรนเอา หากันเอาเอง ต้องดิ้นรนแล้วหากันเอาเอง เห็นไหม ต้องแบบว่าต้องประสบการณ์เราไปแล้วแก้ไขไป เพราะใจมันไม่ฟังใคร ใจนี่เราไม่ฟังใครแล้วแก้ไขยาก ใจถ้าฟังนะ ขอให้ฟัง
นี่ถึงว่าครูบาอาจารย์มีอยู่ ถ้าฟังครูบาอาจารย์จะไม่มีผิดพลาด ยกเว้นแต่ฟังไว้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา มันฟังเฉยๆ ไง มันไม่ซึ้งใจ เพราะมันไม่ซึ้งใจ แต่ถ้ามันซึ้งใจนะ ฟัง ฟังแล้วค่อยลองไป ฟังแล้วลองหมายถึงพิจารณาตามไปด้วย แล้วมันจะไปเห็นตรงทางสองแพร่ง ความเห็นของเราเป็นอย่างนี้ ความเห็นครูบาอาจารย์จะเป็นอย่างนี้ ความเห็นของครูบาอาจารย์จะไปอย่างหนึ่ง
ธรรมกับโลกไม่เหมือนกัน เราเกิดมาจากโลกหมายถึงว่า ความคิดเดิมเราความคิดของโลก ความคิดแบบวิทยาศาสตร์มันต้องมีเหตุผลพิสูจน์ แต่ธรรมมันเหนือวิทยาศาสตร์อีก พอเหนือวิทยาศาสตร์มันชักนำวิทยาศาสตร์ไปก่อน มันเป็นปรัชญา มันจะชักนำวิทยาศาสตร์ไป คือว่ามันมีจริงอยู่แล้วแต่วิทยาศาสตร์นี้พิสูจน์มันไม่ได้ พอใจเราเข้าไป พอมันเป็นว่าง ความว่างอันนี้มันเหมือนวิทยาศาสตร์ เห็นไหม เราว่างได้ เอ๊อ... มันปล่อยได้จริง แต่ความว่างนี้มันเป็นแค่หนึ่งในมรรค ๘ เป็นความว่างเฉยๆ
แต่ความว่างอันนี้มันยังคืนสภาพได้ คือว่ามันเป็น สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา คือว่าความแปรสภาพของมัน มันเป็นหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่ามันแปรสภาพในตัวมันเองอยู่ มันมีจริงอยู่ แล้วมันก็แปรสภาพได้จริงอยู่ด้วย เพราะมันเป็นความว่างที่มันแปรสภาพได้ มันเป็นอนิจจังนะ สพฺเพ ธมฺมา คือว่าสสารมันเปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลา
จิตนี้มันก็เหมือนกัน เปลี่ยนแปลงตัวเองตลอดเวลาเพราะมันมีกิเลสอยู่ พอจิตมันสงบขึ้นมามันเป็นหนึ่งในมรรค ๘ วิธีการอันนี้ที่เขาไม่ได้สอนเลย ในมรรค ๘ ไง ในเริ่มต้นเขาว่าเอาความว่างนี้จับความว่างไง เอาความว่างจับความว่าง เอาความว่างจับมาที่กายที่จิต เห็นไหม เอาความว่างจับเข้ามา เอาความว่างจับ
แต่ของเขาที่ว่ากายโยกกายไหวนี่มันไม่ใช่ความว่าง มันเป็นแบบว่าเป็นเหมือนกับเงาที่ว่าเมื้อกี้นี้ เงาที่ว่าเกิดจากรูปแบบ เงาอันนั้นมันเป็นไปใช่ไหม เงากับเอาเงาจับเงา พอเงาจับเงา พอมันไหวต้องไหวอย่างนั้นนะ ต้องถอนออกมาจากฌาน ๔ ออกมาเป็นอันนั้นนะ ฌานนี่เป็นการเพ่งอยู่อยู่แล้ว ถึงบอกว่าทำศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ... สมาธิกับฌานคนละอัน สมาธิ เห็นไหม ขณิกสมาธิ อุปปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธินี้เป็นสัมมาสมาธิเพราะมีศีลคุมอยู่ แต่ถ้าฌานนี่มันส่งออก ฌานนี่มันเพ่งอยู่ มันมีพลังงาน พลังงานตัวนี้มันจะขับไสออกไป นี่มันถึงว่าจะเป็นสัมมาหรือไม่เป็นสัมมายังต้องพิสูจน์กันอีก
นี่เหมือนกัน พอจิตเข้าถึงความว่างมันเข้าถึง นี่ไงวิทยาศาสตร์ที่ว่าวิทยาศาสตร์ที่จิตเข้าไปรับรู้ พอจิตเข้าไปรับรู้วิทยาศาสตร์นี้มันยังเคลื่อนสภาพไปอยู่ แต่ธรรมะเหนือวิทยาศาสตร์ เหนือวิทยาศาสตร์ตรงที่ใช้เครื่องมือในวิทยาศาสตร์พิจารณาในวิทยาศาสตร์นั้น แล้ววิทยาศาสตร์ทางจิตไง ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทางโลกเขา
วิทยาศาสตร์ทางโลกนั้นใช้สูตรทฤษฎีที่ตายตัว เห็นไหม ถ้าทำแบบเหมือนกัน ทำตามถูกต้องนั้น แล้วลงผลเหตุเหมือนกัน นั้นคือทฤษฎีนั้นถูกต้อง ทำบ่อยๆ หลายๆ คนทำเหมือนกัน ออกมาเป็นทฤษฎี อันนั้นถูกต้องทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าแกนของโลกเคลื่อนไปมันก็ผิดแล้ว เพราะอะไร? เพราะการพิสูจน์สิ่งนั้นมันจะคลาดเคลื่อนไป
ใจก็เหมือนกัน แกนของใจไง แกนของใจ แกนของกิเลสไง ใช้ความว่างนั้นเข้ามาจับตัวนั้น ตัววิทยาศาสตร์ เห็นไหม วิทยาศาสตร์นี้จับ หมายถึงว่าจับสิ่งที่ว่ามันหมุนเคลื่อนอยู่ ความว่างนี้มันแปรสภาพอยู่ มันแปรสภาพเพราะอะไร? เพราะมันมีกิเลสอยู่ มีสสารสิ่งที่เป็นอยู่ที่ใจที่ว่าความเคยใจที่พาเกิดพาตายอยู่
ใจนี่พาคนเราเกิดตายเพราะมีสสาร มีสิ่งสกปรกอยู่ในหัวใจ หัวใจนี่มันสิ่งสกปรก คือว่ากิเลสที่เป็นยางเหนียวติดมากับใจ ความว่างเข้าไปจับตัวนั้นไง ความว่างเข้าไปจับตัวนั้น วิปัสสนาตัวนั้น ถ้าตัวนั้นหลุดออกไป ถ้าตัวนั้นหลุดออกไปหลุดออกไปด้วยอะไร เขาว่าหลุดออกไปด้วยฤทธิ์ หลุดออกไปด้วยแรงของไอ้นั่น...
ไม่ใช่! หลุดออกไปจากมัชฌิมาปฏิปทา ใจที่วางพอดีสุดส่วน ตรงกลางพอดีไง ใจมีพลังงานของมันโดยสัมมาสมาธิ พลังงานนี้เกิดขึ้น ฌานเกิดขึ้นมีพลังงาน พลังงานนี้เป็นพลังงานเฉยๆ พลังงานเฉยๆ ก็เหมือนกับพลังงานไฟฟ้า ไม่ใช้ประโยชน์อะไร พลังงานปฐมใช้เฉยๆ
แต่ย้อนกลับมาด้วยความดำริชอบ งานชอบ พลังงานนั้นต้องบังคับลงที่งานที่กายที่ใจนี้ พลังงานต้องบังคับลงมา บังคับด้วยสติ วิริยะชอบ เพียรชอบ มรรค ๘ มันก็เกิดขึ้น มรรค ๘ เกิดขึ้นนี้แล้วแต่บุคคล การเกิดขึ้นของการวิปัสสนา เห็นไหม อันนี้ถึงวิปัสสนา
เขาบอกว่า ถอยออกมาที่ฌาน ๓ หรือยกวิปัสสนาก็ยกขึ้นทั้งดุ้น ยกขึ้นทั้งท่อนไปเฉยๆ ยกขึ้นอย่างไร? ก็ลูบคลำไป ก็เหมือนกับเงาก็จบกัน ชักมือออกเงานั้นหายไป นั่นคือนิพพานของเขา แต่ตัวนั้นยังอยู่เลย ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่นี่พลังงานนี้มันเกิดขึ้น มรรคนี่เคลื่อนตัวออกไป ถึงเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาเกิดขึ้นจากตรงนี้ ตรงที่ว่ามรรคมันเคลื่อนตัวไป มันไม่ใช่ของบุคคลของใครทั้งสิ้น
ธรรมนี้ถึงได้ประเสริฐไง ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐมาก วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้นจากจิตแต่ละดวง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า ทางมีอยู่ เราเป็นคนชี้ทางอยู่ พระพุทธเจ้าไม่สามารถแก้กิเลสใครได้เลย เพราะกิเลสมันอยู่ในที่ใจ ต้องเอาใจแก้ใจ
ถ้าใจอันนี้ไม่กลับมาแก้ ไม่มีสิ่งใดแก้ได้ ใจนี้จะแก้ได้ต้องเกิดเครื่องมือก่อน เครื่องมือคือสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา เครื่องมือนี้เกิดขึ้นมาแล้วถึงจะย้อนกลับเข้ามาวิปัสสนา ถ้าไม่มีเครื่องมือ เอาอะไรไปวิปัสสนามัน
นี่เหมือนกัน เราไม่มีเครื่องมือเราจะทำงานอะไรได้ งานต้องอาศัยเครื่องมือถึงทำงานนั้นได้ ถ้ามีเครื่องมืองานนั้นก็สำเร็จขึ้นมา ถ้ามีเครื่องมือ ช่างไม่เป็น งานก็ไม่สำเร็จอีก เห็นไหม นี่แค่หาเครื่องมือนะ ทำความสงบของเขาหาเครื่องมือเฉยๆ
เขาว่าทำความสงบอันนั้นเป็นผลแล้วไง เป็นผลที่เกิดจากความว่าง ความว่างนี่มันยังแปรสภาพอยู่ ความว่างนี่ถึงจะไม่ใช่ผลของมัน มันแปรสภาพไปเฉยๆ เพราะว่าเราหลบเอง นักหลบ ชักมือ ชักร่างกายนี้ออกจากเงา ร่างกายนี้หลบออกมาจากเงา แสงแดดส่องมาเงามันไม่มี เพราะว่าร่างกายนี้หลบออกไป อันนั้นว่าเป็นผล
แต่ของวิปัสสนานี่ไม่ใช่อย่างนั้น ร่างกายอยู่ไหน ตามหาร่างกายนั้นจนทำลายร่างกายนั้นหมด แสงส่องมาในอากาศมันไม่มีเงาหรอก เป็นเงาไปไม่ได้ แสงมีอยู่ ทุกอย่างมีอยู่ แต่โดนชำระออกไปหมดสิ้นแล้ว ว่างหมด ความว่างอันนั้นเป็นว่างของผล
ความว่างตามความเป็นจริงมันมีสัจจะ อริยสัจจะ รู้สัจจะแล้วนะยังรู้อริยสัจจะ แล้วปล่อยอริยสัจจะไว้ตามความเป็นจริง แดดส่องมา ร่างกายไม่มี ส่องไปในอากาศออกไปไม่มีเงาเลย แต่ถ้าหลบออกมาแล้วมันรู้ ความว่างมีอยู่เพราะเราหลบ นักหลบ
มันถึงว่าถ้าเอาเป็นสุภาพบุรุษว่ากัน มันต้องมีความสุขความทุกข์ในใจ ความกรุ่นอยู่ของใจมีอยู่ ถ้าย้อนกลับมาดูนะ ดูความเฉา ดูใจที่ยังไม่มั่นคง อันนี้จะรู้ ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตนเลย กิเลสขาด ความเห็นต่างๆ นี่หลุดออกไป จะต้องรู้จักซึ่งๆ หน้า รู้จักจำเพาะตน ไม่ใช่ว่าหลบเลี่ยงออกไปแล้วว่าเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเราหลบเอา นักหลบ
ถึงว่าหลบแล้วมันถึงไม่ใช่ผล มันไม่ใช่ผลแต่มันเป็นกำลังใจ มันไม่ใช่ผลที่สุดที่ว่าเป็นผลที่ว่าสิ้นสุดของการปฏิบัติ แต่มันเป็นกำลังใจในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเท่านั้นนะ แต่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา การเดินที่ผิดทางมามันก็ยึดทางที่ผิด พอยึดทางที่ผิดผลจะเกิดได้อย่างไร?
ผลที่ตามความเป็นจริงมันจะเกิดขึ้นจากสัจจะตามความเป็นจริง เห็นไหม สัจจะนะ แต่ในศาสนานี้สอนถึงเรื่องอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง ทุกข์นี้ต้องดับไปได้ ทุกข์นี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้นมาจากหัวใจ แล้วก็ต้องเอาใจที่มีธรรมสร้างสมขึ้นมา ธรรมที่สร้างสมขึ้นมาแล้วถึงจะเข้าไปชำระล้างได้ อันนั้นถึงวิปัสสนา
วิปัสสนามันจะเกิดขึ้นตรงนี้ เกิดขึ้นจากใจแต่ละดวงที่สะสมแล้วทำขึ้นไป ไม่ใช่เกิดจากขึ้นไปจากอ่านตามชาร์ทนั้นแล้วเดินตามชาร์ทนั้น หลงตัวเองไม่พอนะ ยังหลงรูปแบบอันนั้นมาอีกทีหนึ่ง แล้วเดินตามรูปแบบอันนั้นไป มันก็ไม่ถึงที่หมายซะทีหนึ่ง เดินไปๆ นะ เดินไปแล้วไม่ถึงที่หมาย พอถึงว่าจะให้เป็นอย่างนั้น อ่านรูปแบบนั้น เห็นไหม นั่งแล้วต้องสั่นก็ต้องสั่นไปตามรูปแบบนั้น แล้วมันไม่สั่นขึ้นมาก็ทำให้มันสั่น นี่ถึงว่าเป็น... (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)